บริษัท ‘มูนเพย์’ (MoonPay) ผู้ให้บริการด้านการชำระเงินด้วยคริปโต ได้เข้าซื้อ ‘Iron’ ผู้ให้บริการเทคโนโลยี API เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐานของ ‘สเตเบิลคอยน์’ โดยไม่ได้เปิดเผยมูลค่าของดีลนี้
เมื่อวันที่ 13 ตามเวลาท้องถิ่น มูนเพย์ประกาศว่าการเข้าซื้อ Iron จะช่วยให้ลูกค้าระดับองค์กรสามารถสร้างระบบชำระเงินด้วยสเตเบิลคอยน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุนการทำธุรกรรม และบริหารจัดการสกุลเงินได้หลายรูปแบบ นอกจากนี้ เทคโนโลยีของ Iron ยังช่วยบริหารกระแสเงินสดในรูปแบบสเตเบิลคอยน์แบบเรียลไทม์ และเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทน เช่น ‘พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ’
อีวาน โซโต-ไรท์ (Ivan Soto-Wright) ซีอีโอของมูนเพย์ กล่าวถึงดีลนี้ว่า "เทคโนโลยีของ Iron จะช่วยให้บริษัท ฟินเทค และร้านค้าระดับโลกสามารถเข้าถึงการชำระเงินที่รวดเร็วและปรับแต่งได้"
นี่เป็นการเข้าซื้อกิจการครั้งใหญ่อันดับสองของมูนเพย์ในปีนี้ โดยเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา มูนเพย์ได้เข้าซื้อ ‘เฮลิโอ’ (Helio) ซึ่งเป็นระบบชำระเงินบนเครือข่าย ‘โซลานา’ (SOL) ด้วยมูลค่า 175 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 2,555 พันล้านวอน) ทั้งนี้ ระบบของเฮลิโอรองรับการใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์มหลักอย่าง ‘Shopify’ และ ‘Discord’ ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการขยายเครือข่ายการชำระเงินของมูนเพย์ไปทั่วโลก
ขณะเดียวกัน ไม่ใช่แค่ ‘มูนเพย์’ ที่ให้ความสนใจกับระบบชำระเงินด้วยสเตเบิลคอยน์ เมื่อไม่นานมานี้ ‘มานซา’ (Mansa) ฟินเทคที่ได้รับการสนับสนุนจาก ‘เทเธอร์’ (Tether) สามารถระดมทุนได้ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 146 พันล้านวอน) เพื่อนำไปพัฒนาระบบชำระเงินข้ามพรมแดน
ปัจจุบัน สเตเบิลคอยน์มีมูลค่าตลาดรวมกันสูงกว่า 230 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 335.8 ล้านล้านวอน) และเป็นหนึ่งในกรณีการใช้งานที่สำคัญของเทคโนโลยีบล็อกเชน โดยนักวิเคราะห์มองว่าการที่บริษัทฟินเทคเริ่มผสานรวมการใช้งานสเตเบิลคอยน์มากขึ้น กำลังเป็นปัจจัยเร่งให้ตลาดเติบโต
มาร์ก บัวรอน (Marc Boiron) ซีอีโอของ ‘โพลิกอน แล็บส์’ (Polygon Labs) กล่าวถึงแนวโน้มของตลาดว่า “บริษัทชำระเงินระดับโลกอย่าง ‘Stripe’ และ ‘PayPal’ กำลังผลักดันให้สเตเบิลคอยน์กลายเป็นกระแสหลัก”
ขณะเดียวกัน คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) ได้อนุมัติ ‘สเตเบิลคอยน์แบบจ่ายดอกเบี้ย’ เป็นครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้แนวโน้มการยอมรับสเตเบิลคอยน์ในระบบการเงินดั้งเดิมเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น และอาจส่งผลเชิงบวกต่อการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลในสหรัฐฯ
ความคิดเห็น 0