ธุรกิจขนาดเล็กหันมาใช้การชำระเงินด้วยคริปโตมากขึ้น
กระแสการนำ ‘คริปโตเคอร์เรนซี’ มาใช้เป็นช่องทางการชำระเงินกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่เป็นเรื่องของบริษัทขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่ง ตอนนี้ธุรกิจขนาดเล็กในภาคอีคอมเมิร์ซ อสังหาริมทรัพย์ และร้านอาหาร ต่างเริ่มเปิดรับการจ่ายเงินด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น
รายงานล่าสุดระบุว่า ภายในปี 2025 คาดว่าจะมีผู้ใช้คริปโตทั่วโลกกว่า 659 ล้านคน โดยปัจจุบันมีร้านค้ากว่า 15,000 แห่งที่รองรับการชำระเงินด้วยบิตคอยน์(BTC) ซึ่งรวมถึงร้านค้าในสหรัฐฯ กว่า 2,300 แห่งที่เปิดรับการจ่ายเงินด้วยคริปโตแล้ว
เหตุผลหลักที่ธุรกิจจำนวนมากหันมาใช้คริปโตเป็นช่องทางชำระเงิน ได้แก่ ค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าระบบดั้งเดิม ความสะดวกในการทำธุรกรรมข้ามประเทศ การลดความเสี่ยงจาก ‘Chargeback’ และการเข้าถึงตลาดเกิดใหม่ หากเปรียบเทียบ ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตมักอยู่ที่ 2-4% ขณะที่ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมด้วยคริปโตอาจต่ำกว่า 1% ทำให้การใช้คริปโตช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก
หลายบริษัทได้ริเริ่มนำร่องการใช้คริปโตในการชำระเงิน ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง ‘Shopify’ และ ‘Newegg’ ได้ร่วมมือกับ ‘BitPay’ และ ‘Coinbase Commerce’ เพื่อให้ลูกค้าชำระค่าสินค้าด้วยคริปโต ขณะที่ร้านอาหารบางสาขาของ ‘Subway’ และ ‘Burger King’ ก็เปิดรับบิตคอยน์ นอกจากนี้ ‘Starbucks’ ยังรองรับการชำระเงินผ่านแอป ‘Bakkt’ อีกด้วย
ในภาคค้าปลีก ‘Home Depot’ และ ‘Whole Foods’ ทำงานร่วมกับ ‘Flexa’ และ ‘Spedn’ เพื่อรองรับการใช้สินทรัพย์ดิจิทัล ส่วนในภาคอสังหาริมทรัพย์ การซื้อขายด้วยคริปโตเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น เช่น การขายเพนต์เฮาส์มูลค่า 22.5 ล้านดอลลาร์ในไมอามีด้วยบิตคอยน์ และดีลมูลค่า 15.3 ล้านดอลลาร์ของ ‘Magnum Real Estate Group’ ที่ใช้บิตคอยน์ในการซื้อขาย
อย่างไรก็ตาม กระแสการใช้คริปโตในการชำระเงินยังคงต้องเผชิญกับอุปสรรคบางอย่าง เช่น ความผันผวนของราคา ประเด็นด้านกฎหมาย และความปลอดภัยทางไซเบอร์ ตัวอย่างเช่น ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ราคาบิตคอยน์เคยปรับลดลงถึง 24% ซึ่งทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพของสินทรัพย์ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบอาจส่งผลกระทบต่อศักยภาพในการใช้คริปโตเป็นช่องทางชำระเงิน
เพื่อแก้ไขปัญหานี้ บริษัทและร้านค้าได้เลือกใช้ผู้ให้บริการชำระเงินที่เชื่อถือได้ เช่น ‘BitPay’, ‘CoinsPaid’ และ ‘Coinbase Commerce’ ซึ่งมีระบบแปลงคริปโตไปเป็นสกุลเงินดอลลาร์หรือสกุลเงินท้องถิ่นโดยอัตโนมัติ
ผู้ให้บริการเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวกลางในการชำระเงิน แต่ยังให้บริการเสริมอื่นๆ เช่น เครื่องมือช่วยการยื่นภาษี ระบบยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (2FA) และมาตรการปฏิบัติตามกฎระเบียบ เพื่อให้บริษัทต่างๆ สามารถใช้คริปโตได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเชื่อว่า การใช้คริปโตเป็นช่องทางการชำระเงินจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับธุรกิจขนาดเล็กและสตาร์ทอัพที่สามารถใช้ประโยชน์จากต้นทุนที่ลดลง และโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าทั่วโลก นี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้คริปโตกลายเป็นมากกว่าสินทรัพย์เพื่อการลงทุน แต่เป็นเครื่องมือในการทำธุรกรรมที่ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน
ความคิดเห็น 0