รัฐบาลอังกฤษอาจพิจารณาเรียกเก็บภาษีจากการซื้อขายคริปโต เพื่อกระตุ้นตลาดหุ้นและเศรษฐกิจให้เติบโตมากขึ้น
เมื่อวันที่ 23 ลิซา กอร์ดอน ประธานของบริษัทการลงทุน ‘แคเวนดิช’ ให้สัมภาษณ์กับ The Times ว่า "กว่าครึ่งหนึ่งของชาวอังกฤษที่มีอายุต่ำกว่า 45 ปีถือครองคริปโต แต่ไม่เคยมีประสบการณ์ในตลาดหุ้นเลย" พร้อมเสนอให้ "ลดภาษีการซื้อขายหุ้นและเก็บภาษีจากการซื้อขายคริปโตแทน"
ปัจจุบัน รัฐบาลอังกฤษจัดเก็บอากรแสตมป์ (Stamp Duty) 0.5% จากการซื้อขายหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน(LSE) ซึ่งนำมาซึ่งรายได้จากภาษีราว 3 พันล้านปอนด์ (ประมาณ 156,000 ล้านบาท) ต่อปี กอร์ดอนเชื่อว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีนี้ นักลงทุนอังกฤษจะหันมาให้ความสนใจกับตลาดหุ้นมากขึ้น
เธอยังมองว่าคริปโตเป็น "สินทรัพย์ที่ไม่มีผลิตภาพ" และไม่ได้ช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ ในทางตรงกันข้าม ตลาดหุ้นมีบทบาทสำคัญในการจัดหาเงินทุนให้กับธุรกิจ สร้างงาน และส่งผลดีต่อรายได้ภาครัฐในระยะยาว
ตามรายงานของสำนักงานกำกับดูแลทางการเงินของอังกฤษ (FCA) พบว่าในปีที่ผ่านมา 12% ของผู้ใหญ่ชาวอังกฤษ หรือราว 7 ล้านคน ถือครองคริปโต โดยในกลุ่มนี้ 36% เป็นนักลงทุนที่อายุต่ำกว่า 55 ปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความนิยมของสินทรัพย์ดิจิทัลในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ในขณะที่การสำรวจของ FCA ในปี 2022 ระบุว่า 70% ของชาวอังกฤษมีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ แต่มีเพียง 38% ที่ลงทุนในตลาดหุ้นโดยตรง
กอร์ดอนมองว่า แนวโน้มการลงทุนนี้เป็นปัญหา เนื่องจากนักลงทุนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับ "การออม" มากเกินไป ซึ่งอาจไม่เพียงพอสำหรับการวางแผนเกษียณอายุในระยะยาว นอกจากนี้ รายงานล่าสุดจาก FCA ยังระบุว่าในช่วงปีที่ผ่านมา 44% ของชาวอังกฤษลดการออมและการลงทุนลง ขณะที่ 25% ถอนเงินออม หรือขายหุ้นเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
‘คณะทำงานด้านอุตสาหกรรมตลาดทุน’ ซึ่งกอร์ดอนมีบทบาทอยู่ มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาตลาดหุ้นอังกฤษให้มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยบริษัทแคเวนดิชให้บริการที่ปรึกษาด้านการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะ (IPO) และมีผลประโยชน์โดยตรงต่อการเติบโตของตลาดทุนในประเทศ
ในขณะเดียวกัน รายงานจาก EY ระบุว่า ในปีที่ผ่านมา มีเพียง 18 บริษัทที่จดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหุ้นลอนดอน ซึ่งลดลงจาก 23 บริษัทในปี 2023 และถือเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังมีบริษัท 88 แห่งที่เพิกถอนออกจากตลาดหุ้น หรือย้ายไปยังตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่งหนึ่งในสาเหตุหลักคือสภาพคล่องต่ำ และการประเมินมูลค่าหุ้นที่ต่ำกว่าตลาดสหรัฐฯ
กอร์ดอนยังชี้ว่า ตลาดหุ้นอังกฤษเป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัยมากกว่าสหรัฐฯ ในขณะที่ตลาดหุ้นอเมริกากำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนจาก ‘นโยบายภาษีศุลกากร’ ของประธานาธิบดีทรัมป์ และความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย ที่ทำให้มูลค่าหลักทรัพย์หลายล้านล้านดอลลาร์หายไป
ในส่วนของตลาดคริปโต ยังคงเผชิญกับแรงกดดันเช่นเดียวกันกับตลาดหุ้น โดยบิตคอยน์(BTC) ปรับตัวลดลง 11% ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา และหลุดแนวรับที่ 85,000 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ในช่วง 24 ชั่วโมงล่าสุด บิตคอยน์ปรับตัวขึ้น 2% และกลับมายืนเหนือระดับ 85,640 ดอลลาร์อีกครั้ง
ความคิดเห็น 0