นโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงส่งแรงสะเทือนอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดสกุลเงินดิจิทัล โดยเฉพาะบิตคอยน์(BTC) จากความสับสนของนโยบายภาษีในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนเผชิญกับความไม่แน่นอน ขณะที่การแลกเปลี่ยนภาษีตอบโต้ระหว่างสหรัฐอเมริกา จีน และสหภาพยุโรป ก็ยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อราคาคริปโตหลักอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% และ 10% ตามลำดับ พร้อมกับบังคับใช้ภาษี 20% กับสินค้าจากจีน ต่อมา แม้ได้มีการประกาศขยายการใช้ภาษีอย่างเต็มรูปแบบ แต่ไม่ถึงสัปดาห์ก็กลับมีการผ่อนปรนกับบางหมวดสินค้า เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ สะท้อนถึงท่าทีที่ไม่เป็นหนึ่งเดียวของรัฐบาล ความตึงเครียดทวีความรุนแรงเมื่อวันที่ 12 มีนาคม หลังจากจีนเตรียมตอบโต้ด้วยการเพิ่มภาษีอีก 24% ต่อสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมนำเข้าจากสหรัฐ ส่งผลให้บิตคอยน์แม้จะพุ่งแตะระดับ 88,000 ดอลลาร์ในช่วงหนึ่ง แต่สุดท้ายปรับตัวลงมาอยู่ที่ 82,000 ดอลลาร์ ณ สิ้นเดือน คิดเป็นการลดลงประมาณ 5% ตลอดเดือนมีนาคม
ขณะเดียวกัน ผลกระทบจากความไม่แน่นอนนี้ยังลามไปถึงพอร์ตการลงทุนของบริษัทเวิลด์ ลิเบอร์ตี ไฟแนนเชียล ซึ่งบริหารโดยครอบครัวของทรัมป์ โดยสินทรัพย์ทางเลือกอย่างมินต์(MNT) และโทรอน(TRX) ต่างแสดงผลงานที่ซบเซา บ้างลดลง บ้างเคลื่อนไหวทรงตัว
ด้านกฎหมาย แม้มีความคืบหน้าบางประการในระดับรัฐ โดยยูทาห์และเคนทักกีได้ผ่านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับบล็อกเชน การคุ้มครองธุรกิจเหมืองคริปโต และโครงสร้างการชำระเงิน จนถึงขณะนี้ มีถึง 13 รัฐ อาทิ เท็กซัส อิลลินอยส์ และจอร์เจีย ที่กำลังเดินหน้าร่างกฎหมายเกี่ยวกับคริปโต สำหรับเท็กซัส ได้เสนอแนวคิดการออกเหรียญสเตเบิลคอยน์ที่มีน้ำมันหนุนหลัง พร้อมเปิดโอกาสให้หน่วยงานของรัฐลงทุนในคริปโตได้
สถานการณ์ยังส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อระบบนิเวศของโซลานา(SOL) เนื่องจากกระแสบูมของเหรียญมีมเริ่มซาลง ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายของกระดานแลกเปลี่ยนแบบไร้ศูนย์กลาง (DEX) บนเครือข่ายโซลานา ลดลงจากระดับสูงสุด 34,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนมกราคม เหลือเพียงประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนมีนาคม รายได้รวมของเครือข่ายจึงดิ่งลงกว่า 99% โดยยอดรายได้รายวันลดจาก 15 ล้านดอลลาร์ เหลือเพียง 119,000 ดอลลาร์
นอกจากนี้ เดือนมีนาคมยังเป็นช่วงที่ระบบการเงินแบบไร้ศูนย์กลาง (DeFi) ถูกเจาะระบบอย่างหนัก โดยมีตัวเลขความเสียหายรวมกว่า 22 ล้านดอลลาร์ จากเหตุการณ์แฮ็กหลายกรณี รวมถึงผลกระทบจากคดีเดิมของกลุ่มแฮ็กเกอร์ลาซารัสจากเกาหลีเหนือ ที่เคยขโมยคริปโตมูลค่าสูงถึง 1,400 ล้านดอลลาร์ โดยมีรายงานว่า แฮ็กเกอร์สามารถโอนเงินผ่านเครือข่าย THORChain เพื่อบิดเบือนการติดตามธุรกรรม “ความคิดเห็น”: นักวิเคราะห์ด้านความปลอดภัย แซกซ์เอ็กซ์บีที(ZachXBT) เตือนว่า DeFi คือพื้นที่ที่พร้อมถูกแฮ็กได้ทุกเมื่อ และจำเป็นต้องมีการแทรกแซงจากภาครัฐอย่างเข้มงวด
ตัวเลขด้านลบยังกระทบคริปโตหลักอย่างอีเธอเรียม(ETH) ซึ่งปรับตัวลดลงถึง 18% โดยรวมแล้ว เดือนมีนาคมเป็นช่วงเวลาท้าทายทั้งสำหรับตลาดคริปโตและภาคการเงินแบบดั้งเดิม โดยนักลงทุนยังคงจับตามาตรการตอบโต้แบบ 1:1 ของรัฐบาลสหรัฐที่มีแผนจะใช้กับทุกประเทศที่มีการเก็บภาษีทวนกลับในวันที่ 2 เมษายน ซึ่งตรงกับเหตุการณ์ที่เรียกว่า ‘วันปลดปล่อย’ นำมาซึ่งความกังวลถึงแรงสั่นสะเทือนรอบใหม่ในตลาด
อีกด้านหนึ่ง คณะกรรมการบริการทางการเงินของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ เตรียมพิจารณาร่างกฎหมายว่าด้วยสเตเบิลคอยน์ในเดือนเมษายนนี้ ซึ่งภาคอุตสาหกรรมคริปโตมองว่า หากผ่านความเห็นชอบ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมสู่การเจริญเติบโตภายใต้กรอบกฎหมายอย่างเป็นทางการในสหรัฐ
ความคิดเห็น 0