ไมเคิล เซย์เลอร์(Michael Saylor) ซีอีโอของบริษัทด้านกลยุทธ์ “สแตรทิจี(Strategy)” ได้เดินหน้าเข้าซื้อบิตคอยน์(BTC) มูลค่ากว่า 2.8 หมื่นล้านบาท (1.92 พันล้านดอลลาร์) ในช่วงที่ราคาปรับฐาน โดยเป็นการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจแม้บรรยากาศการลงทุนจะตึงเครียดก่อนการประกาศมาตรการภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ในวันที่ 2 เมษายนนี้
จากการทำธุรกรรมล่าสุดนี้ สแตรทิจีได้บิตคอยน์เพิ่มอีก 22,048 เหรียญ ที่ราคาเฉลี่ยประมาณ 86,969 ดอลลาร์ต่อเหรียญ ส่งผลให้จำนวนการถือครองรวมของบริษัทพุ่งขึ้นเป็น 528,000 เหรียญ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวมราว 3.56 แสนล้านบาท (24.36 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งเป็นปริมาณการถือครองบิตคอยน์มากที่สุดในโลกจากบริษัทเอกชนเพียงรายเดียว
เซย์เลอร์ยืนยันผ่านบัญชี X (อดีต Twitter) เมื่อวันที่ 31 มีนาคมว่า การซื้อครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในระยะยาวต่อบิตคอยน์ ซึ่งเขามองว่าเป็น ‘สินทรัพย์ที่แข็งแกร่งที่สุด’ การสะสมครั้งใหม่นี้เกิดขึ้นหลังจากเพียงไม่กี่วันจากวันที่ 24 มีนาคม ที่บริษัทเพิ่งประกาศถือครองบิตคอยน์แตะระดับ 500,000 เหรียญ โดยทุนที่ใช้ล่าสุดมาจากเงินที่ระดมผ่านการออกหุ้นบุริมสิทธิ
ขณะนี้บิตคอยน์ที่อยู่ในการถือครองของสแตรทิจีมีต้นทุนเฉลี่ยราว 67,458 ดอลลาร์ และหากเทียบกับราคาในตลาดปัจจุบัน บริษัทบันทึกกำไรทางบัญชีแล้วราว 7.7 หมื่นล้านบาท (5.3 พันล้านดอลลาร์) อย่างไรก็ตามมีความเป็นไปได้ว่า แม้ยังไม่ขายบิตคอยน์ บริษัทอาจต้องเสียภาษีนิติบุคคลจากกำไรยังไม่รับรู้ในอนาคตภายใต้กฎหมาย ‘Inflation Reduction Act 2022’
แม้ตลาดคริปโตกำลังเผชิญแรงกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีของทรัมป์ การตัดสินใจของสแตรทิจีสะท้อนถึงความเชื่อต่อ ‘โครงสร้างปัจจัยพื้นฐานของตลาด’ และแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว
อันเดรย์ กราเชฟแห่ง DWFLabs แสดงความคิดเห็นว่า “การปรับฐานครั้งนี้ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของแนวโน้มขาขึ้น แต่เป็นการปรับฐานที่ดีต่อสุขภาพ” พร้อมชี้ว่า “แม้ตลาดจะตอบสนองต่อข่าวเศรษฐกิจมหภาคอย่างไวเกินไป แต่ปัจจัยพื้นฐานระยะยาวไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด”
ในอีกด้านหนึ่ง ตลาดยังคงจับตามาตรการภาษีใหม่ที่ประธานาธิบดีทรัมป์เตรียมประกาศ ซึ่งคาดว่าจะเน้นแนวทาง ‘การค้าตอบโต้’ กับประเทศคู่ค้า อาจกระตุ้นเงินเฟ้อและลดความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง อย่างไรก็ดี ยังมีบางเสียงในวงการคริปโตที่หวังว่า ทรัมป์อาจเปิดรับนโยบายที่เป็นมิตรต่อคริปโตมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่าทีของรัฐบาลทรัมป์ต่อคริปโตถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อบริษัทและนักลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างมีนัยสำคัญ
ความคิดเห็น 0