เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2020 บริษัท มายโครสแตรทจี(MSTR) กลายเป็นบริษัทจดทะเบียนรายแรกที่นำ *บิตคอยน์(BTC)* มาใช้เป็นเครื่องมือหลักในการบริหารจัดการสินทรัพย์ อย่างไรก็ตาม นับแต่นั้นมา แทบไม่มีบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อื่นใดที่เดินตามรอยแนวทางนี้อย่างชัดเจน
โดยปกติ ‘เงินสำรองขององค์กร’ หรือ ‘เงินสดสำรอง’ มักถูกนำมาใช้เพื่อเสริมสภาพคล่องระยะสั้น หรือรองรับกรณีฉุกเฉิน ซึ่งสินทรัพย์เหล่านี้มักอยู่ในรูปของเงินสด, กองทุนตลาดเงิน หรือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุไม่เกิน 3 เดือน
เมตา(META) บริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก เป็นหนึ่งในบริษัทที่ถือ *เงินสำรองสภาพคล่อง* สูงถึงประมาณ 72,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 100 ล้านล้านวอน อย่างไรก็ตาม ในการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ข้อเสนอที่ให้พิจารณานำบิตคอยน์มาใช้เป็นเงินสำรองระยะยาว ได้ถูก ‘ปัดตก’ ด้วยคะแนนเสียงแบบท่วมท้น โดยผู้ถือหุ้นโหวต *คัดค้าน* ข้อเสนอดังกล่าวถึง 1,221 เสียง เทียบกับผู้เห็นชอบเพียง 1 เสียง
ผลลัพธ์นี้แม้จะดูน่าประหลาดใจ แต่ก็ *สะท้อนแนวโน้มที่แท้จริง* ในหมู่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่และองค์กรดั้งเดิมส่วนใหญ่ ที่ยังคงมีท่าที ‘ระมัดระวัง’ ต่อการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลในระดับองค์กร
ไมโครซอฟท์(MSFT) อีกหนึ่งบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐ ก็เคยปฏิเสธข้อเสนอในลักษณะคล้ายกันในเดือนธันวาคมของปีที่ผ่านมา
กรณีที่เมตาถูกผู้ถือหุ้นรายใหญ่โหวตค้านอย่างล้นหลามครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่า *คริปโตยังไม่บรรลุจุดของการยอมรับในระดับสถาบัน* โดยยังคงมีอุปสรรคสำคัญ เช่น ความเชื่อมั่นจากหน่วยงานกำกับดูแล ความชัดเจนทางบัญชี และความผันผวนของตลาด
*ความคิดเห็น*: ท่ามกลางกระแสความสนใจที่พุ่งสูงในสินทรัพย์ดิจิทัล แต่การตอบรับภาคองค์กรยังช้ากว่าที่หลายคนคาดไว้ สะท้อนว่า ‘ความเชื่อมั่น’ ยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องสร้างอย่างต่อเนื่องก่อนจะเกิดการยอมรับในวงกว้าง
ความคิดเห็น 0