ราคาบิตคอยน์(BTC) มีแนวโน้มพุ่งแตะระดับ *200,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.78 ล้านบาท)* ตามการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่อ้างอิง *ทฤษฎีคลื่นเอลเลียต* ซึ่งเป็นแนวคิดที่ใช้ประเมินวงจรจิตวิทยาของตลาด โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีพฤติกรรมสลับกันระหว่างการพุ่งขึ้นและการปรับฐานอย่างชัดเจน นักวิเคราะห์บางรายมองว่า บิตคอยน์กำลังมุ่งหน้าสู่จุดสูงสุดระยะกลางถึงระยะยาวของแนวโน้มขาขึ้น
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ราคาบิตคอยน์ได้พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทะลุระดับ *120,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.67 ล้านบาท)* โดยมีกลุ่มนักวิเคราะห์ที่เห็นว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของ ‘คลื่นกระแทก’ ตามแบบฉบับของทฤษฎีเอลเลียต โดยประเมินว่า ราคาได้เริ่มต้นจากระดับประมาณ *65,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 903,500 บาท)* เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ก่อนจะไต่ขึ้นไปแตะ *มากกว่า 90,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.25 ล้านบาท)* และเข้าสู่ช่วงคลื่นที่ 5 ซึ่งมักเป็นคลื่นสุดท้ายของขาขึ้นในรอบดังกล่าว
จุดที่น่าสังเกตคือ *ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น* ตลอดช่วงขาขึ้น ซึ่งถูกตีความว่าเป็นสัญญาณของตลาดกระทิงที่แท้จริง โดยเฉพาะเมื่อมี *การเข้าซื้อจากนักลงทุนสถาบันในวงกว้าง* ซึ่งในอดีตก็เคยผลักดันให้ราคาบิตคอยน์ทะยานผ่านจุดสูงสุดในรอบต่าง ๆ ได้สำเร็จ
แม้แนวโน้มในปัจจุบันจะดูเป็นบวก แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายรายยังเตือนว่า ตลาดอาจกลับเข้าสู่ *ช่วงปรับฐานแบบ A-B-C* ตามทฤษฎีเดียวกัน ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะพักตัวหรือการแกว่งตัวลงอย่างชัดเจน ทั้งยังชี้ว่า ราคามีความเป็นไปได้ที่จะกลับมาย่อตัวภายหลังจากจบรอบขาขึ้นในคลื่นที่ 5
ขณะเดียวกัน *ดัชนี RSI(ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์)* ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญญาณวัดความร้อนแรงของตลาด แสดงให้เห็นว่าบิตคอยน์เริ่มเข้าสู่ภาวะ *ซื้อมากเกินไป* หากราคาหลุดแนวรับของแนวโน้มขาขึ้น ก็อาจเป็น *สัญญาณแรกของคลื่นที่ 2 หรือการปรับฐานรอบใหม่* ซึ่งเป็นพัฒนาการที่เคยปรากฏมาแล้วในรอบตลาดกระทิงของปี 2017 และ 2021
อย่างไรก็ตาม หากบิตคอยน์สามารถสร้างรูปแบบ *‘จุดยอดเป่าตัว’ (blow-off top)* เหมือนในอดีต ราคาก็อาจพุ่งทะยานไปถึงระดับ *140,000–200,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.95–2.78 ล้านบาท)* ได้ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องมี *เงินทุนเก็งกำไรจากรายย่อยและคำสั่งซื้อขนาดใหญ่จากสถาบันหลั่งไหลเข้ามาพร้อม ๆ กัน* ซึ่งเป็นภาพที่ตลาดคริปโตเคยเผชิญมาแล้ว
สรุปแล้ว บิตคอยน์อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่สอดคล้องกับทฤษฎีเอลเลียต และยังมีช่องว่างให้ทำ ‘จุดสูงสุดใหม่’ ในระยะถัดไป แต่ในขณะเดียวกัน นักลงทุนก็ควร *ตระหนักถึงความเป็นไปได้ของการย่อตัวหรือพักฐานเช่นกัน* นี่คือช่วงเวลาที่ต้องใช้เหตุผลประกอบการตัดสินใจ *แทนที่จะปล่อยให้อารมณ์นำทาง*
ความคิดเห็น 0