แนวคิดเรื่อง‘วงจร 4 ปีของบิตคอยน์(BTC)’อาจไม่ใช่เครื่องมือวิเคราะห์ราคาที่แม่นยำอีกต่อไป เมื่อปิแอร์ โรชาร์(Pierre Rochard) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทบิตคอยน์บอนด์ ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า *โครงสร้างตลาดของบิตคอยน์กำลังเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน* จนวงจรเดิมเริ่มสูญเสียความสำคัญ
โรชาร์ระบุว่า ปัจจัยอย่าง **การลดรางวัลคริปโต (Halving)** ไม่ได้ส่งผลชัดเจนต่อราคาบิตคอยน์เหมือนในอดีตแล้ว เมื่อก่อน “Halving” เป็นตัวกระตุ้นราคาหลัก เพราะส่งผลให้ ‘อุปทาน’ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ในปัจจุบัน บิตคอยน์กว่า 95% ได้ถูกขุดเรียบร้อย ตลาดแทบไม่ได้รับผลกระทบจากปริมาณบิตคอยน์ที่เกิดใหม่ในแต่ละวันอีกต่อไป และการลดอัตราการออกเหรียญกลับไม่สามารถสร้างแรงกดดันด้านอุปทานได้อย่างที่ผ่านมา
นอกจากนั้น โครงสร้างของแหล่งขายเหรียญก็เปลี่ยนไปอย่างมาก จากที่เคยเป็นกลุ่มนักขุด ปัจจุบันผู้ที่ปล่อยเหรียญออกสู่ตลาดกลับเป็น *นักลงทุนรายใหญ่ที่ครองเหรียญมานาน* หรือที่เรียกว่า Whale โดยช่วงหลังมีรายงานว่า นักลงทุนที่ถือครองระยะยาวได้ขายบิตคอยน์ออกไปราว 80,000 เหรียญ คิดเป็นมูลค่าราว 1.12 หมื่นล้านบาท ซึ่งบ่งชี้ว่าความคล่องตัวในตลาดเริ่มกระจุกตัวในกลุ่มผู้ถือครองใหญ่ และตลาดเริ่มตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของบุคคลเพียงไม่กี่ราย
ทางด้านฝั่ง ‘อุปสงค์’ ก็เริ่มแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเช่นกัน โรชาร์ชี้ว่า ปัจจุบัน ‘แรงขับเคลื่อนหลักของตลาด’ ไม่ใช่นักลงทุนรายย่อยอีกต่อไป แต่เป็นสถาบันที่เข้ามาซื้อบิตคอยน์ผ่าน **ETF (กองทุนดัชนี)** หรือเพื่อใช้ในการบริหารงบดุลของบริษัท สิ่งนี้ช่วยสร้าง *เสถียรภาพด้านราคา* และเปลี่ยนพฤติกรรมตลาดจากการเทรดระยะสั้น ให้กลายเป็นการถือครองระยะยาวมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อตลาดโดยรวม
*ความคิดเห็น* ของโรชาร์สะท้อนกับมุมมองของคี ยอง จู(Ki Young Ju) ผู้ก่อตั้งบริษัทวิเคราะห์บล็อกเชนอย่างคริปโตควอนต์ ที่มองว่ากรอบการวิเคราะห์ราคาด้วย ‘ทฤษฎีวงจร 4 ปี’ อาจไม่ใช่เครื่องมือที่ทันสมัยสำหรับโลกสินทรัพย์ดิจิทัลอีกต่อไป ในยุคที่ ‘กลยุทธ์ของผู้ถือครองรายใหญ่’ และ ‘แนวโน้มลงทุนของสถาบัน’ กำลังกลายเป็นปัจจัยชี้ขาดของ *การคาดการณ์ราคาบิตคอยน์* ทั่วโลก
ความคิดเห็น 0