แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะดูเหมือนยังคงเติบโตต่อเนื่อง แต่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อและปัญหาด้านงบประมาณกลับทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางสถานการณ์นี้ ทรัมป์ได้ใช้โอกาสกดดันธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อย่างไม่เคยมีมาก่อน เพื่อให้ลดดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ทิศทางของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความเคลื่อนไหวของบิตคอยน์(BTC) กลายเป็นจุดสนใจ
เมื่อเร็วๆ นี้ ในการประชุม Jackson Hole Symposium ที่รัฐไวโอมิง ประเด็น ‘ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการเงิน’ ได้กลายเป็นหัวข้อหลักของเวที ผู้ร่วมงานต่างจับตามองท่าทีของ Fed ท่ามกลางแรงกดดันมหาศาลจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ปั่นป่วน ไม่ว่าจะเป็น ดัชนีราคาผู้บริโภค (PCE) ที่ยังยืนอยู่ที่ระดับ 2.8% หรือ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่พุ่งขึ้นแรงเกินคาดถึง 0.9% ในเดือนกรกฎาคม ขณะเดียวกัน มูลค่าดอลลาร์สหรัฐฯ ตกลงไปกว่า 10% นับตั้งแต่ต้นปี และหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ก็ทะลุ 37 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 5,143 ล้านล้านบาทไปแล้ว
ท่ามกลางเงื่อนไขเหล่านี้ ทรัมป์ได้แสดงจุดยืนกดดันอย่างเปิดเผยต่อประธาน Fed อย่างเจอโรม พาวเวล โดยเรียกร้องให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 300 จุดเบส ซึ่งหมายความว่า ดอกเบี้ยจะลดลงจากระดับปัจจุบันที่ 5.25~5.5% เหลือเพียง 1.25~1.5% หากกลยุทธ์นี้เกิดขึ้นจริง ‘ความคิดเห็น’ มองว่า จะนำไปสู่การอัดฉีดสภาพคล่องมหาศาลเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ และอาจเป็นตัวเร่งให้สินทรัพย์เสี่ยงปรับขึ้นแรง
ถึงอย่างนั้น หาก Fed ยังคงยืนหยัด ไม่ตอบสนองต่อแรงกดดัน นโยบายลดภาษีและเพิ่มรายจ่ายภาครัฐของทรัมป์ หรือที่เรียกว่า ‘ร่างกฎหมายบิ๊กบิวตี้ฟูล (Big Beautiful Bill)’ ก็ยังมีแนวโน้มเร่งเงินเฟ้อในระยะยาวอย่างต่อเนื่องได้เช่นกัน
สิ่งที่ชัดเจนคือ เศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะ ‘หลีกเลี่ยงเส้นทางเงินเฟ้อได้ยาก’ ไม่ว่าจะเลือกเดินกลยุทธ์ใด ความต่างจึงอยู่ที่ ‘ความเร็วของผลกระทบ’ และ ‘ระดับแรงสั่นสะเทือน’ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลต่อราคาบิตคอยน์ในระดับมหภาค
หากทรัมป์สามารถผลักดันให้ Fed ลดดอกเบี้ยได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ เส้นทางเงินเฟ้อของ PCE อาจทะยานสู่ระดับ 4% ภายในปี 2026 ซึ่งเข้าใกล้ระดับสูงสุดช่วงโควิดที่ 5.3% จุดสูงสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2022 การเคลื่อนไหวของราคาสินค้าอีกครั้งอาจผลักให้ดัชนีดอลลาร์ (DXY) หลุดต่ำกว่าแนว 90 จุด และนี่อาจทำให้ *บิตคอยน์ถูกจับตามองในฐานะ 'เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ'*
ในทางกลับกัน หากดอกเบี้ยยังไม่ถูกลดตามคำเรียกร้อง นักลงทุนจะหันมาให้ความสำคัญกับพื้นฐานเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มสั่นคลอนจากนโยบายภาครัฐเชิงรุก และ *บิตคอยน์ก็อาจกลับมามีบทบาทในฐานะ ‘สินทรัพย์เก็บมูลค่าระยะยาว’* การเปลี่ยนความเชื่อของนักลงทุนจากพันธบัตรและเงินสดมาสู่คริปโตนั้น อาจยิ่งทวีความเร็วขึ้น
สุดท้าย หลายฝ่ายประเมินว่า สถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงช่วงเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ แต่สะท้อนถึง ‘การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง’ ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ *บทบาทเชิงกลยุทธ์ของบิตคอยน์* กำลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ความคิดเห็น 0