รัฐบาลบราซิลดำเนินมาตรการเข้มงวดด้านภาษีคริปโต โดยเมื่อวันที่ 24 ได้ยกเลิกการยกเว้นภาษีสำหรับกำไรจากคริปโตที่มีมูลค่าน้อย และกำหนดอัตราภาษีเงินได้จากกำไรของทรัพย์สินดิจิทัลที่ 17.5% โดยไม่พิจารณาขนาดของผลตอบแทน การเคลื่อนไหวนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงนโยบายภายในประเทศ แต่ยังแสดงถึงความพยายามของรัฐบาลในการใช้ ‘ภาษีคริปโต’ เป็นเครื่องมือในการอุดรอยรั่วทางการคลังอีกด้วย
กรณีของบราซิลถือเป็น ‘แบบอย่าง’ ที่ประเทศอื่นเริ่มเดินตาม ตัวอย่างชัดเจนคือโปรตุเกสที่ตั้งแต่ปี 2023 เริ่มเก็บภาษี 28% จากกำไรของคริปโตที่ถือครองไม่ถึงหนึ่งปี ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนจุดยืนจากเดิมที่เคยยกเว้นภาษีให้คริปโต โดยรวมแล้ว นี่คือ ‘สัญญาณ’ ที่บ่งบอกว่าทั่วโลกกำลังเร่งพิจารณาแนวทางในการจัดเก็บภาษีจากตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างจริงจัง
ในขณะที่หลายประเทศเริ่มเปลี่ยนท่าที เยอรมนีและอังกฤษยังคงรักษาระบบภาษีที่ถือเป็น ‘มิตร’ ต่อคริปโต เยอรมนียังคงนโยบายยกเว้นภาษีสำหรับสินทรัพย์คริปโตที่ถือครองเกินหนึ่งปี และยกเว้นภาษีสูงสุด 600 ยูโรต่อปี (ประมาณ 83,000 บาท) สำหรับสินทรัพย์ที่ถือครองไม่ถึงปี ขณะที่อังกฤษกำหนดเพดานการยกเว้นกำไรจากสินทรัพย์รวมไว้ที่ 3,000 ปอนด์ (ประมาณ 554,000 บาท) ลดลงจาก 6,000 ปอนด์ในปีก่อน แสดงถึงทิศทางที่‘อาจจะลดเพดานนี้ลงไปอีกในอนาคต’ตามภาวะการคลัง
ข้อมูลจากหน่วยงานกำกับดูแลการเงินของอังกฤษ (FCA) ระบุว่า 12% ของผู้ใหญ่ในประเทศถือครองคริปโตอยู่ หากรัฐบาลลดเพดานการยกเว้นภาษีอีกเพียงเล็กน้อย ก็จะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และเมื่อพิจารณาว่าสหราชอาณาจักรกำลังเผชิญกับปัญหาหนี้สาธารณะ จึงไม่แปลกที่ ‘การเพิ่มภาษีจากคริปโต’ กำลังกลายเป็น ‘ตัวเลือกที่เด่นชัดขึ้น’ สำหรับผู้กำหนดนโยบาย
ผู้ลงทุนรายย่อยเริ่มเผชิญกับช่วงเวลาที่หลบเลี่ยงภาษีใน ‘พื้นที่สีเทา’ ไม่ได้อีกต่อไป เพราะเมื่อ ‘ตลาดคริปโตเติบโตเต็มที่’ และ ‘ราคาทรัพย์สินเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง’ รัฐบาลหลายแห่งมองว่านี่คือ ‘แหล่งรายได้ใหม่’ ที่ควรนำมาใช้กับภาษีอย่างจริงจัง
โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ที่กำลังเผชิญแรงกดดันทางการคลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ การจัดเก็บภาษีจากคริปโตกลายเป็น ‘ทางเลือกที่น่าสนใจทั้งจากมุมมองเศรษฐกิจและการเมือง’ เพราะกลุ่มผู้ถือครองยังจำกัด และสังคมมักไม่ต่อต้านมากเท่ากับการขึ้นภาษีแบบเดิม ความจริงที่สนับสนุนประเด็นนี้คือ บิตคอยน์(BTC) มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 61.2% ในช่วงห้าปีหลัง ซึ่งไม่มีสินทรัพย์ใดเทียบเท่าได้
ด้วยภาพลักษณ์ของคริปโตว่าเป็น ‘สินทรัพย์เพื่อการเก็งกำไร และให้ผลตอบแทนสูง’ ประกอบกับความจริงที่ว่าผู้ถือครองจำนวนมากเป็น ‘นักลงทุนรายใหญ่’ จึงทำให้ ‘สังคมมักยอมรับได้มากขึ้น’ ในการเรียกเก็บภาษีจากคริปโต อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่ตามมามักตกหนักที่ ‘ผู้ถือครองรายย่อย และสตาร์ตอัป’ ตัวอย่างคือในกรณีของบราซิล อัตราภาษี 17.5% ส่งผลกระทบกับนักลงทุนทั่วไปที่มีการเข้าถึงระบบการเงินน้อย มากกว่ากลุ่มสถาบันการเงิน
ในประเทศที่ราคาสินค้าทั่วไปพุ่งสูงและเงินเฟ้อรุนแรง ผู้คนเริ่มหันมาใช้คริปโตในฐานะ ‘ที่เก็บมูลค่าทางเลือก’ และการเก็บภาษีจากกำไรที่พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะถือเป็นการลงทุน กลายเป็น ‘ต้นทุนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้’
ฝ่ายกำหนดนโยบายทั่วโลกต่างจับตาความเป็นไปของบราซิลและโปรตุเกส และดูเหมือนว่า แนวทางนี้จะขยายไปยังอีกหลายประเทศเร็ว ๆ นี้ คำถามที่สำคัญจึงไม่ใช่เพียงว่า ‘ใครจะเก็บภาษีก่อน’ แต่เป็น ‘ใครจะทำได้เร็วและเข้มข้นแค่ไหน’
ณ เวลานี้ หลายรัฐบาลกำลังพยายามหาทางเพิ่มรายได้เข้าแผ่นดินอย่างเร่งด่วน และ ‘คริปโต’ ก็ถูกหยิบขึ้นมาเป็นคำตอบหนึ่งที่มีน้ำหนักอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
ความคิดเห็น 0