หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์เปิดตัวเหรียญมีมของตัวเอง (TRUMP) เมื่อวันที่ 18 มกราคม พบว่ามีผู้นำโลกอย่างน้อยห้าคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเด็นอื้อฉาวเกี่ยวกับเหรียญมีม เหตุการณ์ดังกล่าวแพร่กระจายตั้งแต่อาร์เจนตินาจนถึงมาเลเซีย ซึ่งตอกย้ำถึงผลกระทบด้านลบของกระแสเหรียญมีมในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล
หนึ่งในกรณีที่โดดเด่นที่สุดคือเหตุการณ์เหรียญ LIBRA ที่เกี่ยวข้องกับฮาเวียร์ มิเลย์ ประธานาธิบดีอาร์เจนตินา ตามรายงานของบริษัทวิเคราะห์บล็อกเชน นานเซน(Nansen) พบว่านักลงทุนราว 13,000 รายสูญเสียเงินรวมกันกว่า 2.51 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 90,000 ล้านบาท) ขณะที่นักลงทุนอีก 2,101 ราย สามารถทำกำไรได้ราว 1.8 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 64,000 ล้านบาท) จากการใช้ข้อมูลภายใน แม้มิเลย์จะปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับโครงการดังกล่าว โดยกล่าวว่าเขาไม่มีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับโปรเจกต์นี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญบางรายมองว่าอาจมีการฉ้อโกงหรือการดำเนินการที่ไม่โปร่งใสอยู่เบื้องหลัง
ในกรณีของสาธารณรัฐแอฟริกากลาง (CAR) รัฐบาลได้เปิดตัวเหรียญมีมชื่อ CAR เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ แต่ไม่นานหลังจากนั้น เว็บไซต์ทางการของโครงการถูกปิดตัวลง และบัญชีโซเชียลมีเดียที่เกี่ยวข้องก็ถูกระงับ สร้างความตื่นตระหนกในหมู่นักลงทุน มูลค่าตลาดของ CAR ลดลงจาก 600 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 20,640 ล้านบาท) เหลือแทบเป็นศูนย์ภายในเวลาเพียงสองวัน
นอกจากนั้น เดวิด เบิร์ต นายกรัฐมนตรีเบอร์มิวดาต้องเผชิญกับปัญหาเมื่อถูกนำชื่อไปใช้ในโครงการหลอกลวงที่แอบอ้างว่าเป็นเหรียญมีมของเขา ขณะที่มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน แห่งซาอุดีอาระเบีย ถูกนำชื่อไปใช้ในเหรียญ KSA เพื่อพยายามหลอกลวงประชาชนเช่นกัน ส่วนมหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ก็ตกเป็นเหยื่อของแฮกเกอร์บนแพลตฟอร์ม X (เดิมคือทวิตเตอร์) ซึ่งถูกใช้เพื่อโปรโมตเหรียญมีมปลอม
ในขณะเดียวกัน TRUMP โทเคนเองก็ประสบปัญหาหลังจากเปิดตัว โดยมีมูลค่าลดลงมากกว่า 80% ทำให้นักลงทุนผิดหวัง ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมชี้ว่า กระแสเหรียญมีมกำลังชะลอตัว และโครงการที่แอบอ้างใช้ชื่อบุคคลสำคัญหรือรัฐบาลอาจลดลง อย่างไรก็ตาม แนวโน้มของตลาดเหรียญมีมยังคงเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนในอนาคต
ความคิดเห็น 0