ราคาของ ‘บิตคอยน์(BTC)’ กลับมาร่วงลงอีกครั้ง โดยเมื่อวันที่ 28 ราคาหลุดต่ำกว่า 80,000 ดอลลาร์ ซึ่งหมายความว่าราคาลดลงมากกว่า 18% ภายในหนึ่งสัปดาห์ นับเป็นการร่วงลงที่แรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2022
สาเหตุหลักที่นักวิเคราะห์มองว่าเป็นปัจจัยกดดันตลาด คือการที่ ‘ประธานาธิบดีทรัมป์’ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติม 10% สำหรับสินค้าจากจีน ซึ่งจะทำให้อัตราภาษีนำเข้ารวมเพิ่มขึ้นเป็น 20% และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้ยืนยันอีกครั้งถึงแผนเก็บภาษี 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งส่งผลให้ ‘จัสติน ทรูโด’ นายกรัฐมนตรีแคนาดา ประกาศเตรียมมาตรการตอบโต้ที่รุนแรง
การประกาศใช้นโยบายกีดกันทางการค้าที่เข้มงวดนี้ทำให้มูลค่าตลาดรวมของคริปโตเคอร์เรนซีลดลง 8.5% ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ปรับตัวลง 1.5% ตามไปด้วย
ตลาดกองทุน ETF ที่อ้างอิงราคาบิตคอยน์โดยตรงก็ได้รับแรงกระแทกเช่นกัน โดยตลอดเดือนกุมภาพันธ์มีเงินทุนไหลออกไปถึง 3.65 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 5.33 ล้านล้านวอน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ วันเดียวมีเงินทุนไหลออกสูงถึง 1.1 พันล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 1.6 ล้านล้านวอน ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดตั้งแต่เริ่มมีการซื้อขาย ETF บิตคอยน์
ขณะนี้ บิตคอยน์ได้หลุดแนวรับที่เคยอยู่ในช่วง 81,000-85,000 ดอลลาร์ และยังคงเคลื่อนตัวต่ำกว่า 80,000 ดอลลาร์อยู่ นักวิเคราะห์ตลาดระบุว่าแนวรับถัดไปอยู่ที่ 74,000 ดอลลาร์ หากราคาร่วงทะลุระดับนี้ลงไปเพิ่มเติม อาจเกิดการปรับฐานที่รุนแรงกว่านี้
ในแง่ของตัวชี้วัดทางเทคนิค มีสัญญาณ ‘ขายมากเกินไป’ ปรากฏขึ้น โดยดัชนี RSI แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2023 ซึ่งโดยปกติแล้วมักบ่งชี้ถึงโอกาสที่ราคาจะฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าตลาดอาจยังคงอ่อนตัวต่อไปอีกจนกว่าบิตคอยน์จะเคลื่อนตัวลงมาใกล้ 70,000 ดอลลาร์ก่อนจะมีเสถียรภาพ
นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้ตลาดจับตามองคือความเชื่อมโยงระหว่างการปรับฐานของบิตคอยน์กับการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในอดีต ราคาของบิตคอยน์ไม่เคยร่วงลงหลังการเลือกตั้ง ทำให้เกิดคำถามว่านี่อาจเป็นสัญญาณของรูปแบบใหม่ของตลาดหรือไม่ 🎯
ความคิดเห็น 0