แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐจะชะลอตัวลง แต่ราคาบิตคอยน์(BTC) ยังคงปรับตัวลดลง เมื่อวันที่ 13 ตามรายงานของ Cointelegraph ราคาบิตคอยน์ร่วงลง 2.3% มาอยู่ที่ระดับ 81,500 ดอลลาร์ แม้จะมีสัญญาณบวกจากเศรษฐกิจสหรัฐ แต่ตลาดกลับแสดงความกังวล สาเหตุหลักมาจากตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต(PPI) ที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มเงินเฟ้อที่ลดลง
ตามข้อมูลจากสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐ (BLS) ดัชนี PPI ประจำเดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งต่ำกว่าค่ากลางที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ราคาภาคบริการลดลง 0.2% ขณะที่ราคาสินค้าปรับตัวขึ้น 0.3% แสดงให้เห็นว่าแรงกดดันเงินเฟ้อกำลังลดลง
โดยทั่วไปแล้ว การชะลอตัวของเงินเฟ้อมักส่งผลบวกต่อตลาดสินทรัพย์เสี่ยง อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดทางการค้าของสหรัฐกลับมาสู่ความสนใจของนักลงทุนอีกครั้ง ส่งผลให้ตลาดตอบสนองในเชิงลบ จดหมายข่าวการลงทุน "Kobeissi Letter" วิเคราะห์ว่า "ข้อมูลเงินเฟ้อในปัจจุบันอาจถูกใช้เป็นเหตุผลในการเดินหน้าสงครามการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์" ซึ่งอาจกระตุ้นความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลก ส่งผลกระทบทั้งต่อตลาดหุ้นและตลาดคริปโตเคอร์เรนซี
นอกจากนี้ นโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(Fed) ยังคงเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาด จากข้อมูลของ CME Group’s FedWatch Tool โอกาสที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) เดือนมีนาคมอยู่ที่เพียง 1% ขณะที่เดือนพฤษภาคมมีโอกาสลดลง 28% โจช์ เรเกอร์ นักเทรดคริปโตชื่อดังระบุว่า "เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed แสดงจุดยืนชัดเจนแล้วว่าจะไม่มีการลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ และอาจต้องรอถึงเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายน"
ในเชิงเทคนิค บิตคอยน์กำลังเผชิญกับแนวต้านที่ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน (SMA) ซึ่งยังไม่สามารถทะลุผ่านได้เป็นวันที่สี่ คีธ อัลเลน ผู้ร่วมก่อตั้งแพลตฟอร์มวิเคราะห์การเทรด 'Material Indicators' ระบุว่า "หากไม่สามารถทะลุแนวต้านนี้ได้ อาจเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวของตลาด" ข้อมูลจาก CoinGlass ชี้ว่ามีแรงขายมากในช่วง 85,000 ดอลลาร์ หากไม่สามารถทะลุระดับนี้ได้ อาจมีการปรับฐานเพิ่มเติม
การปรับฐานครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่สัญญาณทางเทคนิค แต่ยังสะท้อนถึงความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจและนโยบายของสหรัฐ นักลงทุนควรติดตามการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจและท่าทีของ Fed อย่างใกล้ชิดต่อไป
ความคิดเห็น 0