กระแสมีกคอยน์(Meme Coin) กำลังเปลี่ยนโฉมตลาดคริปโตให้กลายเป็นสนามเก็งกำไรที่มีความเสี่ยงสูง โดยมีเพียงนักลงทุนกลุ่มเล็กๆ ที่สามารถทำกำไรได้มหาศาล ขณะที่นักลงทุนทั่วไปกลับต้องเผชิญกับความสูญเสียอย่างหนัก
ในช่วงปีที่ผ่านมา มีกคอยน์กลายเป็นหนึ่งในแนวโน้มสำคัญของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ผลลัพธ์กลับทำให้หลายคนต้องเสียโอกาสทางการลงทุน ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของ ‘ลิบรา(Libra)’ โทเคนที่สร้างมูลค่าความเสียหายต่อสาธารณชนสูงถึงประมาณ 44,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.6 ล้านล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ในกระแสนี้ แตกต่างจากยุคก่อนหน้าที่เหรียญคริปโตมักถูกใช้เป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนระยะยาว มีกคอยน์ในปัจจุบันกลับเพิ่มความเสี่ยงให้กับนักลงทุนรายย่อยมากขึ้น
โดยธรรมชาติแล้ว มีกคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่เน้นการเก็งกำไร มากกว่าการพัฒนาในระยะยาว มูลค่าของเหรียญเหล่านี้มักถูกผลักดันโดยนักลงทุนรายใหญ่และอินฟลูเอนเซอร์ที่เข้าเก็งกำไรในช่วงต้น จากนั้นนักลงทุนรายย่อยที่เข้ามาทีหลังมักจะถูกทิ้งให้แบกรับความผันผวน อุปสงค์และอุปทานในตลาดของเหรียญเหล่านี้ทำงานคล้ายธุรกิจคาสิโนในโลกออนไลน์ แต่แตกต่างตรงที่พวกมันไม่มีข้อบังคับทางกฎหมายที่ชัดเจน มูลค่าของมีกคอยน์จึงเปลี่ยนแปลงตามกระแสโซเชียลมีเดียและอารมณ์ตลาด มากกว่าพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมของกฎระเบียบยังช่วยสนับสนุนให้กระแสมีกคอยน์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) ได้ออกกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นกับอุตสาหกรรมคริปโต โดยพุ่งเป้าไปที่โครงการการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) และบริษัทสินทรัพย์ดิจิทัลรายใหญ่ อย่างไรก็ตาม การควบคุมโดยไม่มีแนวทางที่ชัดเจนกลับทำให้ตลาดขาดความแน่นอน ส่งผลให้เหรียญที่เน้นการเก็งกำไรได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
แม้กระนั้น ตลาดยังมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่อาจสร้างสมดุลใหม่ รัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มมีท่าทีที่เป็นมิตรกับคริปโตมากขึ้น และคาดว่าจะมีการปฏิรูปกฎระเบียบให้เหมาะสมกับยุคสมัย โดยแนวคิดในการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลอาจรวมไปถึงการเพิ่มความโปร่งใสของโครงการมีกคอยน์ การกำหนดให้ต้องเปิดเผยตัวตนของผู้ออกเหรียญ และการกำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวดขึ้นสำหรับแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนที่ต้องการลิสต์เหรียญกลุ่มนี้
ในระยะยาว ตลาดคริปโตอาจปรับตัวไปสู่การลงทุนที่มีความรอบคอบมากขึ้น นักลงทุนเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงของมีกคอยน์หลังจากเห็นเหตุการณ์ปั่นราคาบ่อยครั้ง ส่งผลให้หลายคนหันไปให้ความสนใจกับสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความมั่นคงมากขึ้น เช่น บิตคอยน์(BTC) ที่ได้รับการยอมรับในฐานะสินทรัพย์ดิจิทัลที่สามารถรักษามูลค่าระยะยาวได้
ความคิดเห็น 0