ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อเรียกเก็บ ‘ภาษีนำเข้า 10%’ สำหรับสินค้าจากทุกประเทศทั่วโลก ส่งผลให้หลายฝ่ายเริ่มมองถึงความเป็นไปได้ที่ *บิตคอยน์(BTC)* จะเข้ามาทดแทน ‘ดอลลาร์สหรัฐ’ ได้ในอนาคต ท่ามกลางแนวโน้มที่สหรัฐอาจเรียกเก็บภาษีตอบโต้เพิ่มเติมจากประเทศที่ขาดดุลการค้าในสัดส่วนใหญ่ สถานการณ์ดังกล่าวได้กระตุ้นแรงสั่นสะเทือนสู่ตลาดการเงินทั่วโลกแล้ว
เมื่อวันที่ 9 ที่ผ่านมา เจฟฟ์ พาร์กส์(Jeff Parks) หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ของบิทไวซ์อินเวสต์(Bitwise Invest) แสดงความคิดเห็นผ่านโซเชียลมีเดียว่า "นับจากวันนี้ไป ความคิดที่ว่าบิตคอยน์จะมีอายุยืนยาวกว่าดอลลาร์ ไม่ใช่แค่สมมุติฐานอีกต่อไป แต่กลายเป็นความเป็นจริงที่นักลงทุนทุกคนต้องคำนึงถึง" พร้อมเสริมว่าเรื่องนี้เคยเป็นเพียงทฤษฎี แต่ตอนนี้กลายเป็นประเด็นที่นักลงทุนควรพิจารณาอย่างจริงจัง
ด้านซีอีโอของบิทไวซ์ ฮันเตอร์ ฮอสลีย์(Hunter Horsley) ก็แสดงความเห็นในทำนองเดียวกัน โดยระบุว่า “ความเชื่อมั่นในดอลลาร์กำลังสั่นคลอนและสกุลเงินอื่นก็ไม่ได้แข็งแกร่งกว่า หลายคนจึงเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ แต่กลับไม่มีอะไรที่ไว้วางใจได้” เขายังชี้ว่า แม้แต่ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยแบบดั้งเดิมในสภาวะไม่แน่นอน ก็ยังมีข้อจำกัดด้านการจัดเก็บและการขนส่ง พร้อมย้ำว่า "ท้ายที่สุดผู้คนจะหันไปหาบิตคอยน์"
ในด้านดัชนีดอลลาร์ของสหรัฐ ล่าสุดร่วงลงอย่างต่อเนื่องแตะระดับ 102.193 ณ ปัจจุบัน นับตั้งแต่ต้นปีลดลงกว่า 5.84% ซึ่งขัดแย้งกับความคาดหวังของนักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีท ที่เคยเชื่อว่า นโยบายภาษีของทรัมป์จะช่วยหนุนค่าเงินดอลลาร์ แต่กลับตรงกันข้าม ตามรายงานของ Wall Street Journal
ขณะเดียวกัน *บิตคอยน์* ยังคงเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก โดยมีราคาล่าสุดอยู่ที่ 76,301 ดอลลาร์ต่อเหรียญ (ประมาณ 1.11 ล้านบาท) ลดลงกว่า 18% เมื่อเทียบกับต้นปี นักวิเคราะห์ชี้ว่า ความกังวลต่อภาวะถดถอยและความผันผวนทั่วโลกเป็นปัจจัยกดดันสำคัญ
ในอีกด้านหนึ่ง ไซเฟดีน อะมูส(Saifedean Ammous) ผู้เขียนหนังสือชื่อดัง *Bitcoin Standard* ได้แสดงจุดยืนทางเศรษฐกิจผ่านโซเชียลมีเดีย โดยตั้งข้อสังเกตว่า ปัญหาของสหรัฐไม่ใช่การขาดดุลกับบางประเทศ แต่คือ ‘ระบบการเงินโลกที่ใช้สกุลเงินไม่มีหลักประกัน (fiat)’ ที่พึ่งพาการพิมพ์ดอลลาร์อย่างไร้ขีดจำกัด เขาระบุว่า “คนอเมริกันสามารถใช้ชีวิตด้วยเงินที่พิมพ์เองได้ก็จริง แต่เงื่อนไขคือต้องมีคนใช้ดอลลาร์ต่อไป” พร้อมเสนอให้เปลี่ยนไปลงทุนในสินทรัพย์ ‘แข็งค่า’ เช่น *บิตคอยน์* หรือทองคำแทน
เขายังเสริมด้วยถ้อยคำตรงไปตรงมาว่า “หากทั่วโลกหยุดใช้ดอลลาร์ซึ่งเปรียบเสมือน ‘ชีตคอยน์(Shitcoin)’ และหันไปสู่ระบบการเงินที่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน เศรษฐกิจของสหรัฐอาจกลับฟื้นตัวและบรรลุเป้าหมายการเกินดุลทางการค้าของทรัมป์ได้ในที่สุด”
นักวิเคราะห์หลายรายมองว่า นโยบายเชิงรุกด้านการค้าของทรัมป์กำลังผลักดันให้นักลงทุนพิจารณา *คริปโตเคอร์เรนซี* อย่างเป็นทางเลือกยิ่งขึ้น ทั้งยังสะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่จะมีผลต่ออำนาจของเงินสกุลหลักทั่วโลกในระยะยาว *ความคิดเห็น: ความเปลี่ยนแปลงของระบบเงินทุนโลกอาจอยู่ใกล้กว่าที่เราคิด*
ความคิดเห็น 0