ประธานาธิบดีทรัมป์ ลงนาม *คำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อยุติแนวปฏิบัติเชิงเลือกปฏิบัติของภาคธนาคารต่ออุตสาหกรรมคริปโต* ซึ่งถูกมองว่าเป็นสัญญาณเชิงนโยบายที่มีเป้าหมายฟื้นฟู *การเข้าถึงเงินทุนของภาคสินทรัพย์ดิจิทัล* ภายในสหรัฐฯ โดยตรง คำสั่งฉบับนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของรัฐบาลทรัมป์ในการยุติความไม่เป็นธรรมที่บริษัทคริปโตถูกกีดกันจากระบบการเงิน แม้จะดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมายก็ตาม
คำสั่งฝ่ายบริหารฉบับนี้มุ่งสกัดแนวปฏิบัติของหน่วยงานกำกับดูแลธนาคารกลางที่ใช้ข้ออ้างเรื่อง ‘ความเสี่ยงด้านชื่อเสียง’ ในการกดดันให้ธนาคารเลี่ยงการทำธุรกรรมกับบริษัทคริปโต โดยรัฐบาลทรัมป์ระบุว่า ตลอดช่วงที่ผ่านมา บริษัทในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลต้องเผชิญกับแรงกดดันจากการควบคุมที่ไม่โปร่งใส จนกระทบต่อการเปิดบัญชี การจ่ายค่าจ้าง และการเข้าถึงบริการทางการเงิน
สิ่งที่ชัดเจนคือคำสั่งนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับแนวทางที่วงการเรียกว่า ‘*Operation Choke Point 2.0*’ ซึ่งเป็นกระบวนการ *กดดันทางการเงินแบบไม่เป็นทางการ* ที่คล้ายคลึงกับนโยบายของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ในช่วงต้นปี 2010 ที่มุ่งตัดสัมพันธ์ธนาคารออกจากธุรกิจที่จัดอยู่ในหมวดเสี่ยงสูง เช่น ธุรกิจเงินกู้หรืออาวุธปืน แต่ในครั้งนี้ *อุตสาหกรรมคริปโตกลายเป็นเป้าหมายหลัก* จนเกิดกระแสความไม่พอใจอย่างกว้างขวาง
หลังปี 2023 หลายบริษัทคริปโตในอเมริกาต่างพากันประสบกับสถานการณ์ ‘ดีแบงก์’ แม้ไม่มีการกระทำผิดกฎหมายก็ตาม โดยเฉพาะกลุ่มสตาร์ทอัปและนักลงทุนสถาบันที่เผชิญกับอุปสรรค ทั้งในการเติบโตของธุรกิจและการสร้างความเชื่อมั่นในตลาดสหรัฐ คำสั่งของทรัมป์จึงถือเป็นทั้ง *ถ้อยแถลงทางนโยบายและกลไกปกป้องทางกฎหมาย* เพื่อต้านกระแสดังกล่าว
ความเคลื่อนไหวนี้ยังสอดคล้องกับท่าทีล่าสุดของหน่วยงานกำกับด้านการเงิน เช่น ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด), องค์กรประกันเงินฝากแห่งสหพันธรัฐ(FDIC) และสำนักงานตรวจสอบเงินตรา(OCC) ที่มีมติให้ยกเลิการใช้องค์ประกอบ ‘ชื่อเสียง’ เป็นเกณฑ์ตัดสินธนาคาร นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับร่างกฎหมายที่อยู่ระหว่างการพิจารณาในสภาคองเกรสที่ต้องการจำกัดอำนาจตามดุลยพินิจของหน่วยงานกำกับดูแล
*ความคิดเห็น*: นโยบายแบบเป็นมิตรต่อคริปโตของประธานาธิบดีทรัมป์ในครั้งนี้อาจสะท้อนให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นในโครงสร้างการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต ไม่เพียงช่วยลดแรงต่อต้านจากระบบการเงินดั้งเดิม แต่อาจเปิดทางให้ *อุตสาหกรรมคริปโตสามารถผนวกรวมเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเสถียรและยั่งยืนในสหรัฐฯ* ได้มากยิ่งขึ้น
ความคิดเห็น 0