เมื่อการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลเริ่มขยายตัวทั่วโลก บรรดาประเทศต่าง ๆ ก็หันมาให้ความสำคัญกับ ‘กฎระเบียบ’ ไม่ใช่ในฐานะอุปสรรคอีกต่อไป แต่เป็น ‘เงื่อนไขสำคัญของการเติบโต’ สหรัฐฯ ใช้วิธีการเน้นการบังคับใช้กฎหมาย ขณะที่ดูไบและอินเดียกำลังพัฒนาแนวทางเชิงรุกผ่านกรอบกำกับดูแลครอบคลุม เพื่อวางรากฐาน ‘ยุคใหม่ของโครงสร้างพื้นฐาน’ ด้านสินทรัพย์ดิจิทัล แข่งขันเพื่อเป็นผู้นำในระบบเศรษฐกิจดิจิทัลโลก
ขณะที่การเก็งกำไรเคยเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของตลาดคริปโต ทุกวันนี้ การปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับได้กลายเป็น ‘กุญแจสำคัญในการขยายธุรกิจ’ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียและตะวันออกกลาง ซึ่งเริ่มมอง ‘กฎระเบียบ’ เป็น ‘พื้นฐานของนวัตกรรม’ ตัวอย่างเช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(UAE) ได้จัดตั้งกรอบกำกับดูแลผู้ให้บริการสินทรัพย์เสมือน(VASP) อย่างครอบคลุม ทำให้ดูไบกลายเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์คริปโตระดับโลก ขณะที่อินเดียพยายามเปิดรับแพลตฟอร์มต่างประเทศ โดยกำหนดให้มีการขออนุมัติจากสำนักงานวิเคราะห์ข่าวกรองทางการเงิน (FIU) ก่อนให้บริการ
เมื่อกระบวนการสถาบันทางการเงินดิจิทัลก้าวหน้า แพลตฟอร์มต่าง ๆ จึงต้องตอบสนอง ‘ข้อกำหนดด้านภาษี, การจัดการข้อมูล, และใบอนุญาต’ เพื่อเข้าสู่ตลาดใหม่ได้อย่างราบรื่น ความได้เปรียบกำลังเคลื่อนย้ายจากฝั่งตะวันตกมาสู่ตะวันออก และผู้ที่จะประสบความสำเร็จในยุคใหม่นี้ คือผู้ที่สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องภายใต้กรอบของ ‘การขยายแบบได้รับอนุญาต (permissioned scale)’
สำนักงานกำกับดูแลสินทรัพย์เสมือนแห่งดูไบ(VAR) ออกใบอนุญาตให้กับธุรกิจแล้วกว่า 36 ราย และมีบริษัทที่จดทะเบียนมากกว่า 400 แห่ง ไม่เพียงเท่านั้น VAR ยังเริ่มทดลองโครงการใหม่ ๆ เช่น การโทเคนทองคำและการเงินแบบไร้ศูนย์กลาง(DeFi) อย่างไรก็ตาม ความท้าทายไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีเท่านั้น กรณีของอินเดียที่แม้มีหมายเลขมือถือกว่า 1.12 พันล้านเลขหมาย แต่กลับมีเพียง 55.3% ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต อีกทั้งผู้ใหญ่ที่มีทักษะพื้นฐานด้านการเงินก็มีเพียง 27% แสดงให้เห็นว่าแพลตฟอร์มจำเป็นต้องออกแบบ ‘ประสบการณ์ใช้งานที่รวมการเรียนรู้ด้านการเงินไว้ในตัว’ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของความรู้
ในประเทศอย่างกัมพูชาและฟิลิปปินส์ ที่การโอนเงินข้ามประเทศคิดเป็นถึง 9% ของ GDP โครงสร้างพื้นฐานที่ขับเคลื่อนด้วย ‘สเตเบิลคอยน์’ อาจเป็นตัวแปรสำคัญในการลดค่าธรรมเนียมและเพิ่มความโปร่งใส ซึ่งหมายความว่าการ ‘ปรับใช้กลยุทธ์เฉพาะถิ่น’ ที่สะท้อนบริบททางวัฒนธรรมและกฎระเบียบในแต่ละประเทศ คือหัวใจของการผลักดัน ‘การเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างทั่วถึง’
ในปัจจุบัน ‘การปฏิบัติตามข้อกำหนด’ ไม่ได้เป็นเพียงการตอบสนองภาครัฐอีกต่อไป แต่เป็น ‘ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน’ โดยตรง โครงการโครงข่ายการชำระเงินต้นทุนต่ำที่รัฐบาลเป็นผู้นำ กำลังท้าทายระบบแบบดั้งเดิมอย่างวีซ่าและมาสเตอร์การ์ด เช่นเดียวกับการร่วมมือระหว่างเงินดิจิทัลและเงินตราทั่วไป เฉพาะผู้ที่สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ผสมผสาน ‘ความไว้วางใจ’ และ ‘การควบคุม’ ได้อย่างกลมกลืนเท่านั้น ที่จะสามารถออกแบบระบบการเงินแห่งอนาคตได้สำเร็จ
ผลลัพธ์ก็เริ่มปรากฏ ปีที่ผ่านมา UAE ดึงดูดเม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์คริปโตในตะวันออกกลางกว่า 34,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 47.2 ล้านล้านวอน) ขณะที่ระบบชำระเงินแบบรวมของอินเดีย (UPI) ก็สามารถยกระดับความปลอดภัยของเงินผู้ใช้ อย่างเป็นรูปธรรม ยืนยันว่า ‘กฎเกณฑ์’ สามารถเป็นแรงขับการแพร่ขยายเทคโนโลยีได้จริง ปัจจุบัน แพลตฟอร์มจึงต้องมี ‘ระบบตรวจสอบความเสี่ยงอัตโนมัติ’ และ ‘กลไกตรวจสอบข้อกำกับในระดับโปรโตคอล’
พื้นฐานด้านกฎหมายยังช่วยผลักดัน ‘การเคลื่อนย้ายของทุนข้ามพรมแดน’ และเอื้อต่อการเข้าถึง ‘สภาพคล่องที่โปร่งใสและขยายได้’ ของสถาบันลงทุน สเตเบิลคอยน์จึงกลายเป็นรากฐานสำคัญที่มีทั้ง ‘ความยืดหยุ่น’ และ ‘ความสามารถในการตั้งโปรแกรม’ เพื่อเชื่อมโลกของเงินตราทั่วไปและคริปโตเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
ส่วนผสมที่ทรงพลังอย่าง ‘AI’ และ ‘โทเคนสินทรัพย์จริง(RWA)’ กำลังกลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับการปฏิรูประบบการเงิน AI จะเข้ามาช่วยในการแปลความกฎเกณฑ์แบบเรียลไทม์, ตรวจจับการฉ้อโกง และประมวลผลคำสั่งซื้อขายแบบดุลยภาพ พร้อมทั้งออกแบบ ‘แพลตฟอร์มซื้อขายอัจฉริยะ’ ที่ตอบสนองต่อข้อกำหนดเฉพาะประเทศได้อัตโนมัติ ในขณะเดียวกัน การนำอสังหาริมทรัพย์, พันธบัตรรัฐบาล และสินค้าจริงเข้าสู่ระบบออนเชน กำลังผลักดันให้ตลาด RWA เติบโตถึง 10 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 1.39 ล้านล้านล้านวอน) ภายในปี 2030
โดยเฉพาะในตลาด ESG เช่น คาร์บอนเครดิตและใบแจ้งหนี้การค้าทางการเกษตร การตัดคนกลางออกจากกระบวนการและเพิ่มความเร็วในการจัดการ มีแนวโน้มเปิดโอกาสให้ธุรกิจขนาดเล็ก(SME) เข้าถึงแหล่งทุนใหม่ ๆ รวมถึงตลาดที่เคยอยู่นอกเรดาร์ของนักลงทุนสถาบัน แพลตฟอร์มอย่างแบล็คร็อก, อีโทโร, โรบินฮู้ด และคอยน์เบส ต่างเรียกร้องให้มีการลงทุนใน RWA มากขึ้น ไม่ใช่โดยบังเอิญ
สิ่งที่ขาดไม่ได้ในระดับโครงสร้างพื้นฐาน คือระบบ ‘อินฟราสตรักเจอร์ที่ผสานกฎระเบียบในตัว’ ทั้งระบบยืนยันตัวตน, การเปิดบัญชีด้วย AI และตรวจสอบธุรกรรมอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ อนาคตที่แท้จริงจะถูกสร้างโดย ‘แพลตฟอร์มที่หลอมรวมระหว่าง AI, RWA และการกำกับดูแลกฎเกณฑ์’ อย่างสมบูรณ์
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่จะครองตลาดในอนาคต ไม่ใช่ผู้ที่เก่งด้านเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว หรือผู้ที่หลีกเลี่ยงข้อบังคับได้ดีที่สุด แต่เป็นผู้ที่ออกแบบระบบที่ ‘มีความสามารถในการขยายตัว, ความน่าเชื่อถือ และมูลค่าการใช้งานจริง’ ภายในโครงสร้างที่ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างครบถ้วน โลกคริปโตในยุคใหม่จะขับเคลื่อนโดยผู้ที่สามารถสร้าง ‘มาตรฐานระดับโลก’ บนพื้นฐานแห่งระเบียบ ไม่ใช่ด้วยการขัดขืนมัน.
ความคิดเห็น 0