**ปัญหา ‘De-banking’ ยังคงส่งผลกระทบต่อธุรกิจคริปโตในสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง**
ปัญหา ‘De-banking’ หรือการที่ธนาคารปิดกั้นการให้บริการทางการเงินแก่ธุรกิจคริปโตในสหรัฐฯ อาจไม่จบลงง่าย ๆ ตามการคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญ โดยมีการวิเคราะห์ว่าความเคลื่อนไหวนี้อาจดำเนินต่อไปจนถึงเดือนมกราคม 2026 ซึ่งเป็นช่วงที่ประธานาธิบดีทรัมป์สามารถแต่งตั้งคณะกรรมการเฟด(Fed) ชุดใหม่
เคทลิน ลอง(Caitlin Long) ซีอีโอของ Custodia Bank กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวว่า “การ De-banking ยังไม่จบสิ้น แต่อยู่ในขั้นตอนที่กำลังเข้มข้นขึ้น” โดยเธอเปิดเผยว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ กำลังตรวจสอบธนาคารที่มีแนวคิดสนับสนุนคริปโตสองแห่ง และทีมนักตรวจสอบจำนวนมากจากวอชิงตันกำลังจับตาความเคลื่อนไหวของพวกเขา
สถานการณ์นี้เริ่มรุนแรงขึ้นหลังจากในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ธนาคารที่เป็นมิตรต่อคริปโตอย่างซิลเวอร์เกต(Silvergate) และซิกเนเจอร์แบงก์(Signature Bank) ล่มสลาย ส่งผลให้หลายคนมองว่านี่คือส่วนหนึ่งของ “Operation Chokepoint 2.0” ความพยายามของภาครัฐในการบีบให้ธนาคารหยุดทำธุรกิจกับบริษัทคริปโต นิค คาร์เตอร์(Nic Carter) นักลงทุนด้านบล็อกเชนระบุว่า “รัฐบาลพยายามตัดขาดการเข้าถึงบริการทางการเงินของธุรกิจคริปโตโดยตรง”
แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะออกนโยบายสนับสนุนคริปโต รวมถึงคำสั่งบริหารเมื่อวันที่ 7 มีนาคม เพื่อให้มีการสำรองบิตคอยน์(BTC) ระดับประเทศ แต่สถาบันการเงินหลายแห่งยังคงมีแนวโน้มต่อต้านสินทรัพย์ดิจิทัล ลองกล่าวเพิ่มเติมว่า “ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงถูกควบคุมโดยพรรคเดโมแครต และทรัมป์จะไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้นำของเฟดได้ก่อนมกราคม 2026 สิ่งนี้อาจนำไปสู่การปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างภาคธุรกิจคริปโตและหน่วยงานกำกับดูแล”
ขณะเดียวกัน ปัญหา De-banking ยังเป็นกระแสในยุโรป อนาสตาเซีย พลอทนิโควา(Anastasija Plotnikova) ผู้ร่วมก่อตั้ง Fideum ที่ปรึกษาด้านกฎหมายบล็อกเชนกล่าวว่า “การปิดบัญชีธนาคารของบริษัทคริปโตเป็นอุปสรรคสำคัญในยุโรป และเกิดขึ้นเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2017 ถึง 2022”
อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณบวกจากสำนักงานผู้ควบคุมเงินตราสหรัฐฯ (OCC) ที่เพิ่งประกาศผ่อนคลายแนวทางการให้บริการด้านคริปโตของธนาคาร ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะยุติ "Operation Chokepoint 2.0" ทำให้ผู้เชี่ยวชาญเฝ้ารอดูว่าภาคการเงินและธุรกิจคริปโตจะสามารถปรับความสัมพันธ์ระหว่างกันได้หรือไม่
ความคิดเห็น 0