ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีเริ่มชะลอตัวลงในช่วงสัปดาห์นี้ แต่บริษัทที่ถือครองบิตคอยน์(BTC) ในลักษณะ ‘บริษัททุนสำรอง’ กำลังเผชิญกับแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงมากกว่า โดยเฉพาะบริษัทที่มุ่งเน้นการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นหลัก ซึ่งบางรายสูญเสียมูลค่าหุ้นไปกว่า *90%* สะท้อนความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับความอิ่มตัวของตลาดและความยั่งยืนด้านธุรกิจในระยะยาว
ตัวอย่างที่ชัดเจนในกรณีนี้คือบริษัท *สแตรทิจี(Strategy)* ซึ่งถือครองบิตคอยน์ในปริมาณมากที่สุด ปัจจุบันราคาหุ้นของบริษัทได้ร่วงลงประมาณ *45%* จากระดับสูงสุดช่วงระหว่างวันในเดือนพฤศจิกายน 2023 ที่ *543 ดอลลาร์* (ประมาณ 755,000 บาท) ตรงกันข้ามกับราคา *บิตคอยน์ที่ยังคงพุ่งทะยานทำสถิติใหม่* โดยแม้จะเคยสูงสุดที่ *99,000 ดอลลาร์* (ประมาณ 13.76 ล้านบาท) ก็ยังคงเพิ่มขึ้นอีกประมาณ *10%* หลังจากนั้น
ตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา บิตคอยน์ได้ทำสถิติ *ราคาสูงสุดใหม่* หลายครั้ง และในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ราคาก็พุ่งแตะระดับ *123,000 ดอลลาร์* (ราว 17.09 ล้านบาท) ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นของ *สแตรทิจี* ในปีนี้กลับไม่เคยเข้าใกล้จุดสูงสุดเดิม และยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจน
นักวิเคราะห์ตลาดให้ความเห็นว่า ผลต่างระหว่างราคาบิตคอยน์ที่แข็งแกร่งกับราคาหุ้นของบริษัททุนสำรองที่ซบเซา เป็นเครื่องสะท้อน *ข้อจำกัดของกลยุทธ์ที่เน้นถือครองสินทรัพย์เพียงอย่างเดียว* นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามถึงความสามารถในการสร้างรายได้ของบริษัทเหล่านี้ในระยะยาว และมีแนวโน้มที่จะมีการประเมินมูลค่าบริษัทใหม่ในทิศทางขาลงมากขึ้น
ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจคือ แนวโน้มถดถอยของหุ้นกลุ่มนี้เกิดขึ้นแม้ในช่วงที่มีปัจจัยบวกในตลาด ไม่ว่าจะเป็น *ท่าทีสนับสนุนคริปโตฯ จากประธานาธิบดีทรัมป์* หรือความหวังต่อการผ่อนคลายกฎระเบียบท่ามกลางนโยบายใหม่ในหลายประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเพียงแค่การฟื้นตัวของตลาดโดยรวมอาจไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นให้ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้กลับคืนสู่ระดับเดิมได้ ความ ‘เสี่ยงเชิงโครงสร้าง’ ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ต้องจับตา
ความคิดเห็น 0