คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) ได้ยุติการสอบสวนแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโต ‘เจมิไน(Gemini)’ อย่างเป็นทางการ ซึ่งส่งผลให้แคเมอรอน วิงเคิลวอส(Cameron Winklevoss) ผู้ร่วมก่อตั้ง ออกมาเรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่อุตสาหกรรมคริปโตต้องเผชิญ
SEC เริ่มดำเนินการตรวจสอบเจมิไนเมื่อสองปีก่อน พร้อมทั้งส่ง ‘Wells Notice’ หรือหนังสือแจ้งเตือนถึงการดำเนินคดีทางกฎหมายเมื่อปีก่อน อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วทาง ก.ล.ต. ก็ตัดสินใจที่จะไม่ฟ้องร้องดำเนินคดีต่อ วิงเคิลวอสจึงมองว่าการประกาศครั้งนี้เป็น ‘จุดสิ้นสุดของสงครามกับคริปโต’ โดยระบุว่า SEC เพิ่งยุติการสอบสวนหลายแพลตฟอร์ม เช่น คอยน์เบส(Coinbase), โอเพนซี(OpenSea), โรบินฮูด(Robinhood) และยูนิสวาป(Uniswap) ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม วิงเคิลวอสแสดงความไม่พอใจ เพราะถึงแม้ SEC จะยกเลิกการสอบสวน แต่ผลกระทบทางการเงินและชื่อเสียงที่เกิดขึ้นกับบริษัทคริปโตก็ไม่ได้รับการชดเชย เขาระบุว่า เจมิไนต้องใช้เงินหลายสิบล้านดอลลาร์ในการต่อสู้ทางกฎหมาย และส่งผลกระทบต่อ ‘ศักยภาพ’ ในการพัฒนานวัตกรรมที่อาจมีมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ เขายังวิจารณ์ว่ากฎระเบียบที่ไม่มีความชัดเจนของ SEC ส่งผลให้วิศวกรและผู้ประกอบการจำนวนมากต้องละทิ้งอุตสาหกรรมคริปโต และสตาร์ทอัพต่างๆ ต้องเสียเวลาไปกับการแก้ไขปัญหาด้านกฎหมาย มากกว่าการพัฒนาเทคโนโลยี
เพื่อแก้ไขปัญหานี้ วิงเคิลวอสเสนอให้มีการเพิ่มความรับผิดชอบแก่หน่วยงานภาครัฐ โดยเสนอให้บริษัทที่ถูกดำเนินคดีจาก ‘กฎที่ไม่ชัดเจน’ ควรได้รับค่าชดเชยเป็นสามเท่าของค่าใช้จ่ายทางกฎหมายที่พวกเขาเสียไป นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ของ SEC ที่ดำเนินการสอบสวนอย่างไม่เป็นธรรมต้องถูกปลดออกจากตำแหน่งทันที และห้ามบุคคลที่เคยใช้กฎหมายในทางที่ผิดเข้ามารับราชการอีกในอนาคต
วิงเคิลวอสสรุปว่า “หากต้องการคืนความน่าเชื่อถือให้กับหน่วยงานภาครัฐ จำเป็นต้องมีการดำเนินการที่เด็ดขาดกับผู้ที่เคยมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม” พร้อมย้ำว่าการตอบโต้ในครั้งนี้ควรเป็นไปในระดับเดียวกับ ‘Operation Chokepoint’ ในอดีต ซึ่งเป็นโครงการของรัฐบาลที่เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงเกี่ยวกับการใช้มาตรการทางกฎหมายที่เข้มงวดเกินไป
ความคิดเห็น 0